ชนิดข้อมูลใน
MySQL
(Datatype)
1. VARCHAR
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวอักษร
ทุกครั้งที่เลือกชนิดของฟิลด์เป็นประเภทนี้ จะต้องมี
การกำหนดความยาวของข้อมูลลงไปด้วย ซึ่งสามารถกำหนดค่าได้ตั้งแต่ 1 – 255 ฟิลด์ชนิดนี้ เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลสั้นๆ เช่น ชื่อ นามสกุล
หรือหัวข้อต่างๆ เป็นต้น… ในส่วนฟิลด์ประเภทนี้ จะ
สามารถเลือก “แอตทริบิวต์” เป็น BINARY
ได้ โดยปกติแล้วการจัดเรียงข้อมูลเวลาสืบค้น (query) สำหรับ VARCHAR จะเป็นแบบ case-sensitive (ตัวอักษรใหญ่ และเล็กมีความหมายแตกต่างกัน) แต่ หากระบุ “แอตทริบิวต์” เป็น BINARY ปุ๊บ
การสืบค้นจะไม่คำนึงตัวอักษรว่าจะเป็นตัวใหญ่ หรือตัวเล็ก
2. CHAR
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวอักษร
แบบที่ถูกจำกัดความกว้างเอาไว้คือ 255 ตัวอักษร ไม่
สามารถปรับเปลี่ยนได้เหมือนกับ VARCHAR หากทำการสืบค้นโดยเรียงตามลำดับ
ก็จะเรียงข้อมูลแบบ case-sensitive เว้นแต่จะกำหนดแอตทริบิวต์เป็น
BINARY ที่จะทำให้การเรียงข้อมูลเป็นแบบ non
case-sensitive เช่นเดียวกับ VARCHAR
3. TINYTEXT
ในกรณีที่ข้อความยาวๆ
หรือต้องการที่จะค้นหาข้อความ โดยอาศัยฟีเจอร์ FULL TEXT SEARCH
ของ MySQL เราอาจจะเลือกที่จะไม่เก็บข้อมูลลงในฟิลด์ประเภท
VARCHAR ที่มีข้อจำกัดแค่ 256 ตัวอักษร
แต่เราจะเก็บลงฟิลด์ประเภท TEXT แทน โดย TINYTEXT นี้ จะสามารถเก็บข้อมูล ได้ 256 ตัวอักษร
ซึ่งมองเผินๆ ก็ไม่ต่างกับเก็บลงฟิลด์ประเภท CHAR หรือ VARCHAR(255)
เลย แต่จริงๆ มันต่างกันตรงที่ มันทำFULL TEXT SEARCH ได้
4. TEXT
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวอักษร
เช่นเดียวกับ TINYTEXT แต่สามารถเก็บได้มากขึ้น โดย
สูงสุดคือ 65,535 ตัวอักษร หรือ 64KB เหมาะสำหรับเก็บข้อมูลพวกเนื้อหาต่างๆ
ที่ยาวๆ
5. MEDIUMTEXT
เก็บข้อมูลประเภทตัวอักษร
เช่นเดียวกับ TINYTEXT แต่เก็บข้อมูลได้ 16,777,215
ตัวอักษร
6. LONGTEXT
เก็บข้อมูลประเภทตัวอักษร
เช่นเดียวกับ TINYTEXT แต่เก็บข้อมูลได้ 4,294,967,295
ตัวอักษร
7. TINYINT
สำหรับเก็บข้อมูลชนิดตัวเลขที่มีขนาด 8
บิต ข้อมูลประเภทนี้เราสามารถกำหนดเพิ่มเติม ในส่วนของ “แอตทริบิวต์” ได้ว่าจะเลือกเป็น UNSIGNED หรือ UNSIGNED ZEROFILL โดยจะมี ความแตกต่างดังนี้
– UNSIGNED : จะหมายถึงเก็บค่าตัวเลขแบบไม่มีเครื่องหมาย แบบนี้จะทำใหสามารถเก็บค่าได้
ตั้งแต่ 0 – 255
– UNSIGNED ZEROFILL
: เหมือนข้างต้น แต่ว่าหากข้อมูลที่กรอกเข้ามาไม่ครบตามจำนวน
หลักที่เรากำหนด ตัว MySQL จะทำการเติม 0 ให้ครบหลักเอง เช่น ถ้ากำหนดให้ใส่ได้ 3 หลัก
แล้วทำการเก็บข้อมูล 25 เข้าไป เวลาที่สืบค้นดู
เราจะได้ค่าออกมาเป็น 025 หากไม่เลือก “แอ ตทริบิวต์” สิ่งที่เราจะได้ก็คือ SIGNED นั่นก็คือต้องเสียบิตนึงไปเก็บเครื่องหมาย บวก/ลบ ทำ
ให้สามารถเก็บข้อมูลได้อยู่ในช่วง -128 ถึง 127 เท่านั้น
8. SMALLINT
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวเลขที่มีขนาด
16
บิต จึงสามารถเก็บค่าได้ตั้งแต่ -32768 ถึง 32767
(ในกรณีแบบคิดเครื่องหมาย) หรือ 0 ถึง 65535
(ในกรณี UNSIGNED หรือไม่คิดเครื่องหมาย)ซึ่งสามารถเลือก
Attribute เป็น UNSIGNED และ UNSIGNED
ZEROFILL ได้เช่นเดียวกับ TINYINT
9. MEDIUMINT
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวเลขที่มีขนาด
24
บิต นั่นก็หมายความว่าสามารถเก็บ ข้อมูลตัวเลขได้ตั้งแต่ -8388608
ไปจนถึง 8388607 (ในกรณีแบบคิดเครื่องหมาย)
หรือ 0 ถึง 16777215 (ในกรณีที่เป็น UNSIGNED
หรือไม่คิดเครื่องหมาย) ซึ่งสามารถเลือก Attribute เป็น UNSIGNED และ UNSIGNED ZEROFILL ได้เช่นเดียวกับ TINYINT
10. INT
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวเลขที่มีขนาด
32 บิต หรือสามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ -2147483648 ไปจนถึง 2147483647 ครับ (ในกรณีแบบคิดเครื่องหมาย)
หรือ 0 ถึง 4294967295 (ในกรณีที่เป็น UNSIGNED
หรือไม่คิดเครื่องหมาย) ซึ่งสามารถเลือก Attribute เป็น UNSIGNED และ UNSIGNED ZEROFILL ได้เช่นเดียวกับ TINYINT
11. BIGINT
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวเลขที่มีขนาด
64
บิต สามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ – 9223372036854775808 ไปจนถึง 9223372036854775807 เลยทีเดียว
(แบบคิดเครื่องหมาย) หรือ 0 ถึง 18446744073709551615
(ในกรณีที่เป็น UNSIGNED หรือไม่คิดเครื่องหมาย)
ซึ่งสามารถเลือก Attribute เป็น UNSIGNED และ UNSIGNED ZEROFILL ได้เช่นเดียวกับ TINYINT
12. FLOAT[(M,D)]
ที่กล่าวถึงไปทั้งหมด
ในตระกูล INT นั้นจะเป็นเลขจำนวนเต็ม
หากเราบันทึกข้อมูล ที่มีเศษทศนิยม มันจะถูกปัดทันที
ดังนั้นหากต้องการจะเก็บค่าที่เป็นเลขทศนิยม ต้องเลือกชนิดขอฟิลด์ เป็น FLOAT
โดยจะเก็บข้อมูลแบบ 32 บิต คือมีค่าตั้งแต่ -3.402823466E+38
ไปจนถึง -1.175494351E- 38, 0 และ 1.175494351E-38
ถึง 3.402823466E+38
13. DOUBLE[(M,D)]
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวเลขทศนิยม
เช่นเดียวกับ FLOAT แต่มีขนาดเป็น 64 บิต สามารถเก็บได้ตั้งแต่ -1.7976931348623157E+308 ถึง
-2.2250738585072014E-308, 0 และ2.2250738585072014E-308
ถึง 1.7976931348623157E+308
14. DECIMAL[(M,D)]
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทตัวเลขทศนิยม
เช่นเดียวกับ FLOAT แต่ใช้กับข้อมูลที่
ต้องการความละเอียดและถูกต้องของข้อมูลสูง ข้อสังเกต เกี่ยวกับข้อมูลประเภท FLOAT,
DOUBLE และ DECIMAL ก็คือ เวลากำหนดความ ยาวของข้อมูลในฟิลด์
จะถูกกำหนดอยู่ในรูปแบบ (M,D) ซึ่งหมายความว่า
ต้องมีการระบุว่า จะให้มี ตัวเลขส่วนที่เป็นจำนวนเต็มกี่หลัก
และมีเลขทศนิยมกี่หลัก เช่น ถ้าเรากำหนดว่า FLOAT(5,2) จะ
หมายความว่า เราจะเก็บข้อมูลเป็นตัวเลขจำนวนเต็ม 5 หลัก
และทศนิยม 2 หลัก ดังนั้นหากทำการใส่ ข้อมูล 12345.6789
เข้าไป สิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในข้อมูลจริงๆ ก็คือ 12345.68 (ปัดเศษให้มีจำนวนหลัก ตามที่กำหนดไว้)
15. DATE
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทวันที่
โดยเก็บได้จาก 1 มกราคม ค.ศ. 1000 ถึง 31 ธันวาคม ค.ศ. 9999 โดยจะแสดงผลในรูปแบบ
YYYY-MM-DD
16. DATETIME
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทวันที่
และเวลา โดยจะเก็บได้ตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 1000 เวลา 00:00:00 ไปจนถึง 31 ธันวาคม
ค.ศ. 9999 เวลา 23:59:59 โดยรูปแบบการแสดงผล
เวลาที่ทำการสืบค้น (query) ออกมา จะเป็น YYYY-MM-DD
HH:MM:SS
17. TIMESTAMP[(M)]
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทวันที่
และเวลาเช่นกัน แต่จะเก็บในรูปแบบของ YYYYMMDDHHMMSS หรือ YMMDDHHMMSS หรือ YYYYMMDD หรือ YYMMDD แล้วแต่ ว่าจะระบุค่า M เป็น 14, 12, 8 หรือ 6 ตามลำดับ
สามารถเก็บได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1000 ไป จนถึงประมาณปี ค.ศ. 2037
18. TIME
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทเวลา
มีค่าได้ตั้งแต่ -838:59:59 ไปจนถึง 838:59:59
โดยจะแสดงผล ออกมาในรูปแบบ HH:MM:SS YEAR[(2/4)] : สำหรับเก็บข้อมูลประเภทปี ในรูปแบบ YYYY หรือ YY
แล้วแต่ว่าจะเลือก 2 หรือ 4 (หากไม่ระบุ จะถือว่าเป็น 4 หลัก) โดยหากเลือกเป็น 4
หลัก จะเก็บค่าได้ตั้งแต่ ค.ศ. 1901 ถึง 2155
แต่ หากเป็น 2 หลัก จะเก็บตั้งแต่ ค.ศ. 1970
ถึง 2069 ข้อสังเกต ค่าที่เก็บในข้อมูลประเภท TIMESTAMP
และ YEAR นั้นจะมีความสามารถพอๆ กับ
การเก็บข้อมูลวันเดือนปี และเวลา ด้วยฟิลด์ชนิด VARCHAR แต่ต่างกันตรงที่
จะใช้เนื้อที่เก็บข้อมูล น้อยกว่า… ทว่า ฟิลด์ประเภท TIMESTAMP
นั้นจะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาที่สามารถเก็บได้ คือ
จะต้องอยู่ในระหว่าง 1 มกราคม ค.ศ. 1000 ไปจนถึงแถวๆ ค.ศ. 2037 อย่างที่บอก แต่หากเก็บเป็น VARCHAR
นั้นจะไม่ติดข้อจำกัดนี้ ฟิลด์ชนิด YEAR ก็เช่นกันครับ…
ใช้เนื้อที่แค่ 1 ไบต์เท่านั้นในการ
เก็บข้อมูล แต่ข้อจำกัดจะอยู่ที่ ปี ค.ศ. 1901 ถึง 2155
เท่านั้น (หรือ ค.ศ. 1970 ถึง 2069 ในกรณี 2 หลัก) แต่หากเก็บเป็น VARCHAR จะได้ตั้งแต่ 0000 ถึง 9999 เลย
อันนี้เลยอยู่ที่ความจำเป็นมากกว่าครับ (แต่ ด้วยความที่ว่า ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ราคาถูกมากๆ
ผมเลยไม่ติดใจอะไรที่จะใช้ VARCHAR แทน เพื่อ ความสบายใจ
อิอิ เพราะสมมติว่ากินเนื้อที่ต่างกัน 3 ไบต์ ต่อ 1 ระเบียน มีข้อมูล 4 ล้านระเบียน ก็เพิ่ง ต่างกัน 12
ล้านไบต์ หรือ 12 เมกะไบต์เท่านั้นเอง
ซึ่งหากเทียบกับปริมาณข้อมูลทั้งหมดของข้อมูล 4 ล้านระเบียน
ผมว่ามันต้องมีอย่างน้อยเป็นกิกะไบต์
ดังนั้นความแตกต่างที่ไม่กี่เมกะไบต์จึงไม่มากมาย)
19. TINYBLOB
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทไบนารี
ได้แก่ ไฟล์ข้อมูลต่างๆ, ไฟล์รูปภาพ, ไฟล์มัลติมีเดีย เป็นต้น
คือไฟล์อะไรก็ตามที่อัพโหลดผ่านฟอร์มอัพโหลดไฟล์ในภาษา HTML โดย
TINYBLOB นั้นจะมีเนื้อที่ให้เก็บข้อมูลได้ 256 ไบต์
20. BLOB
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทไบนารี
เช่นเดียวกับ TINYBLOB แต่สามารถเก็บข้อมูลได้ 64KB
21. MEDIUMBLOB
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทไบนารี
เช่นเดียวกับ TINYBLOB แต่เก็บข้อมูลได้ 16MB
22. LONGBLOB
สำหรับเก็บข้อมูลประเภทไบนารี
เช่นเดียวกับ TINYBLOB แต่เก็บข้อมูลได้ 4GB ข้อสังเกต ข้อมูลประเภท BLOB นั้น
แม้จะมีประโยชน์ในเรื่องของการเก็บข้อมูลประเภท BINARY ให้อยู่กับตัวฐานข้อมูล
ทำให้สะดวกเวลาสืบค้นก็ตาม แต่มันก็ทำให้ฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ เกินความจำเป็นด้วย
ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการสำรองฐานข้อมูลในกรณีที่ มีข้อมูลอัพโหลดไป เก็บมากๆ
โดยปกติแล้ว จะใช้วิธีการอัพโหลดไปเก็บไว้ในโฟลเดอร์
แล้วเก็บลิงก์ไปยังไฟล์เหล่านั้น เป็นฟิลด์ชนิด VARCHAR มากกว่า
23. SET สำหรับเก็บข้อมูลที่เป็นกลุ่มของข้อมูลที่ยอมให้เลือกได้
1
ค่าหรือหลายๆ ค่า ซึ่งสามารถกำหนด ได้ถึง 64 ค่า